เปิดใจน้องต้นรัก…ผู้เขียนฎีกาถวายในหลวง ร.9
พระมหากรุณาธิคุณจากองค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 มากมายจนหาที่สุดมิได้ พระองค์ไม่เคยทิ้งลูกๆของท่านให้ลำบาก ดังจะเห็นได้จากการที่มีหลายคนที่เขียนฏีกาถวายพระองค์ท่าน และพระองค์ท่านก็ทรงให้ความช่วยเหลือ อย่างเช่น เด็กสาวชาวสมุทรสาคร รายนี้ ที่ชื่อว่า นางสาวลักขณา เชิดชิด หรือน้องต้นรัก ปัจจุบัน อายุ 19 ปี ซึ่งตอนนี้ครอบครัวของเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะพระมหากรุณาธิคุณขององค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระเมตตาตอบรับให้การช่วยเหลือจากฎีกาที่เธอได้เขียนถวายไปเมื่อ 5 ปีก่อน
น้องต้นรัก ได้เล่าให้ฟังว่า เหตุผลที่ตัดสินใจเขียนฎีกาถวาย เพราะตอนนั้น ครอบครัวตกอยู่ในความยากลำบาก บ้านที่อยู่กำลังจะโดนยึด เพราะพ่อกับแม่ได้เอาไปจำนองไว้ และตอนนั้น ก็มีเพียงแม่ที่ทำงานคนเดียว เพราะพ่อได้มาขอแยกทาง ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่รู้จะหาทางไหนมาช่วยแม่ เพราะตอนนั้นเธอก็เป็นนักเรียนศึกษาอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เธอคิดว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ อีก 6เดือนข้างหน้า เธอและครอบครัวจะต้องเป็นคนเร่ร่อน ไร้บ้าน ไม่มีการศึกษา และมีอยู่วันหนึ่งเธอได้อ่านหนังสือพิมพ์และพบว่ามีคนได้รับการช่วยเหลือจากการที่เขียนฎีกาถวายแด่องค์ในหลวง เธอจึงตัดสินใจเขียนเรื่องความทุกข์ยากของครอบครัวลงบนกระดาษ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2554 โดยใจความนั้น ได้เล่าให้พระองค์ทราบว่า ตอนนี้บ้านที่อยู่ได้ติดจำนอง และอีก 6 เดือนจะโดยยึด ฐานะทางบ้านก็ยากจน มีแม่ที่ทำงานหาเลี้ยงเพียงคนเดียว เพราะพ่อขอแยกทาง ค่าเช่าบ้านและดอกเบี้ยก็สูงมาก ที่ทำงานส่งไปก็เหมือนส่งแค่ดอก และในบ้านก็ยังมีอีกหลายชีวิตทั้ง น้องๆ หลาน ยาย จึงอยากขอให้พระองค์ช่วยเมตตา
เมื่อเขียนเสร็จเธอก็ยังไม่รู้ว่าจะส่งจดหมายของเธอไปถึงพระองค์ได้อย่างไร เธอจึงไปถามที่อยู่ส่งจากสำนักงานไปรษณีย์ และส่งจดหมายของเธอไป แต่ก็ไม่ได้หวัง และไม่คิดว่า จดหมายจากลายมือของเธอจะไปถึงพระองค์จริงๆ จากนั้นไม่นานก็ได้มีหนังสือตอบรับกลับมาว่าพระองค์ท่านได้รับทราบเรื่องราวของเธอจากสิ่งที่เธอได้เขียนไปแล้ว วันนั้นที่หนังสือตอบกลับส่งมาถึงบ้าน เธอถึงกลับดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนในบ้านก็มีความรู้สึกไม่ต่างๆกัน ทุกคนปลาบปลื้มปิติ ที่พระองค์ท่านได้เห็นถึงความเดือดร้อนของพวกตน โดยการช่วยเหลือนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่จาก พระราชวังซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์มาคอยดูแลให้ โดยได้มีการนัดอัยการและให้ครอบครัวของเธอไปไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้ที่ศาลจังหวัดสมุทรสาคร โดยขอให้เก็บแต่เฉพาะเงินต้น ไม่ให้คิดดอกเบี้ย ซึ่งนั้นเป็นการช่วยเหลือในเรื่องหลัก แต่พระองค์ยังทรงมีพระเมตตาในเรื่องการศึกษาด้วย โดยได้รับเธอเป็นนักเรียนทุนพระราชทาน ในส่วนนักเรียนทุนมูลนิธิส่วนภูมิภาค ที่จะให้เรียนจนจนชั้นปริญญาตรี ซึ่งนี้ก็เข้าสู่ปีที่สามแล้วที่เธอได้รับทุนการศึกษามา และในช่วงเดือนเมษายนของแต่ละปี นักเรียนทุนพระราชทานก็จะต้องไปเข้าค่าย ซึ่งเป็นค่ายเปิดประสบการณ์การเรียนรู้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และเมื่อได้เข้าเป็นนักเรียนทุนพระราชทานแล้ว ในแต่ละปีก็ต้องเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวส่งไปถึงพระองค์ ให้พระองค์ได้รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเธอบอกว่า จดหมายแต่ละฉบับที่เขียนไป เขียนด้วยความตั้งใจ เขียนด้วยมุ่งมั่น เขียนด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มปิติ อย่างที่อธิบายได้ยาก เพราะรู้ว่า สิ่งที่เขียนไปผู้ที่จะได้อ่านคือพ่อหลวง คือกษัตริย์ของแผ่นดิน
ทุกวันนี้ของที่ได้รับพระราชทานมาไม่ว่าจะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ ซองตอบรับ ถุงพระราชทาน เอกสารต่างๆได้ถูกเก็บไว้อย่างดี แม้แต่ถุงใส่ข้าวสารที่มากับถุงพระราชทานใบนั้น ก็ได้ถูกเก็บไว้อย่างดีเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้มาบวชพราหมณ์อยู่ที่วัดท่าไม้ เธออยากบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน
ส่วนการเรียนตอนนี้ได้ขอดรอปไว้ก่อน เพราะก่อนหน้านั้น ต้องช่วยทำงาน จนมีเวลาไม่เต็มที่กับการเรียน แต่หากสึกจากการบวชพราหมณ์แล้ว จะตั้งใจกลับไปเรียนให้จบ ป.ตรี ตามที่พระองค์ได้ทรงมีเมตตามอบทุนให้เรียน และเมื่อเรียนจบแล้วเธอก็อยากทำงานเป็นจิตอาสา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือน้องๆคนอื่น ทำดี ปฏิบัติตนตามแนวทางที่พ่อหลวงได้สอนไว้ เช่นเดียวกับทุกคนในครอบครัว ที่ตั้งใจจะปฏิบัติตนเป็นคนดี เพราะเธอและครอบครัวของเธอมีชีวิตที่ดีขึ้นได้เพราะพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน
เอเซีย/ ภาพ พรเพ็ญ / ข่าว