เปิดใจน้องน้ำขิง

 

น้องน้ำขิง 1

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 93/66 หมู่บ้านกานดา หมู่ที่ 3 .นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่อพบกับนางสาวชลลดา พุ่มอิ่ม หรือ น้องน้ำขิง อายุ 16 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกปลาบปลื้มใจ ที่ครั้งหนึ่งในวัยที่น้องน้ำขิงยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุเพียง 6 ปี เคยเขียนจดหมายขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในรัชกาลที่ 9 ทรงหายจากพระอาการประชวร และขอให้นางสาวนิลุบล สุวัฒนมงคลชัย ผู้เป็นแม่นำไปส่งให้ อีกทั้งยังได้ร่ำร้องถามแม่อยู่เสมอทุกวันว่า จดหมายจะถึงมือของในหลวงไหม  จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีจดหมายจากสำนักราชเลขาธิการ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ตอบกลับมา 1 ฉบับว่าถึงเด็กหญิงชลลดา พุ่มอิ่ม ตามที่ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับ ณ โรงพยาบาล ศิริราช ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ เพื่อถวายการรักษา เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2549 นั้น ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงขอบใจ ลงวันที่ 4 กันยายน 2549” สร้างความดีใจให้แก่หนูน้อยน้ำขิง และ ความปลาบปลื้มใจแก่ครอบครัวของน้องน้ำขิงเป็นอย่างมาก โดยทางแม่ของน้ำขิงก็ได้เก็บรักษาจดหมายฉบับดังกล่าวไว้เป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

น้องน้ำขิงเล่าว่าเมื่อตอน 6 ขวบนั้น ตนเองเห็นในหลวงไม่สบาย ก็เลยอยากจะเขียนจดหมายถึงพระองค์ท่าน เพื่อขอให้พระองค์ท่านทรงหายจากอาการพระประชวร ซึ่งทีแรกก็ไม่กล้าเขียน ด้วยความเป็นเด็กลายมือก็ไม่สวย ใช้คำราชาศัพท์ก็ไม่เป็น ก็เลยถามแม่ว่าอยากจะเขียนจดหมายหาในหลวง ลูกจะเขียนได้ไหม และต้องเขียนอย่างไร ใช้คำแบบไหน แม่ก็บอกว่าเขียนได้ โดยใช้คำธรรมดาสามัญนี่แหล่ะ ซึ่งตนก็รีบเขียนทันที โดยมีเนื้อความเท่าที่จำได้คือ ขอให้ในหลวงทรงหายป่วยโดยเร็ว จากนั้นก็ขอให้แม่เอาไปส่งให้ จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ มีจดหมายตอบกลับมา ก็ดีใจเป็นอย่างมากและขอให้แม่เก็บรักษาจดหมายไว้ให้ โดยทุกๆ ครั้งที่ลงมาจากจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อมานอนค้างบ้านที่จังหวัดสมุทรสาครก็จะต้องเอาจดหมายฉบับนี้มานั่งดูนั่งอ่านเสมอ

น้องน้ำขิงยังบอกอีกว่าตนนั้นรักและเทิดทูนในหลวงเป็นอย่างมากเพราะพระองค์ท่านไม่เหมือนพระราชาหรือพระมหากษัตริย์ที่ใดในโลกในความรู้สึกของตนนั้นพระองค์ท่านทรงเป็นบุคคลที่คนธรรมดาสามัญอย่างเราสามารถเข้าถึงได้พระองค์ท่านทรงดูแลและห่วงใยประชาชนทุกคนพระองค์ท่านทรงมีคำสอนที่ยิ่งใหญ่คือให้คนไทยดำเนินชีวิตแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงทุกวันนี้ครอบครัวของน้องน้ำขิงก็นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาปรับใช้กับอาชีพการทำเกษตรกรรมของครอบครัว

ด้านนางสาวนิลุบลสุวัฒนมงคลชัยผู้เป็นแม่กล่าวว่าตั้งแต่น้องน้ำขิงจำความได้ก็จะสอนให้น้องได้รับรู้ถึงพระราชกรณียกิจของในหลวงสอนให้น้องได้รู้จักพระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงษ์จักรีทั้ง 9 พระองค์ ซึ่งน้องก็จะมีนิสัยรักและเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอด และมักจะถามหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับในหลวงเสมอมา ซึ่งพ่อกับแม่ก็จะคอยสอนและตอบคำถามในสิ่งที่ลูกอยากรู้ ส่วนในเรื่องของจดหมายที่ได้รับกลับมานี้ ก็เป็นที่สร้างความปลาบปลื้มใจและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะไม่คิดว่าพระองค์ท่านจะทรงตอบกลับ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะนำไปใส่กรอบประดับไว้ที่บ้านเคียงข้างกับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

น้องน้ำขิง 3

น้องน้ำขิง 2

สุเมธ/ภาพ/ข่าว