สาวโรงงานร้องหมอ

AD WEB NET 20-5-60

 

พี่เมธ สาวโรงงาน1

เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 มิถุนายน 2560 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่หอพักแสงประทีป 2 เลขที่ 73 หมู่2 นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาครซอย15 ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ห้องพักเลขที่ 16 S พบกับนางสาวสงกรานต์ แสนทวีสุข อายุ35ปี ที่อยู่บ้านเลขที่  25/1 หมู่12 ตำบลกุดประทาย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี   เล่าว่าตนมีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และเป็นสาวเคราะห์ร้ายที่ได้รับผลกระทบจากการวินิจฉัยของแพทย์โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาครรักษาตามสิทธิประกันสังคม ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดีจำนวน2ก้อน การเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเอาก้อนนิ่วทั้ง2ก้อนออกนั้นนายแพทย์เจ้าของไข้  ยอมรับภายหลังว่าเกิดความผิดพลาด  ซึ่งไปตัดไตข้างขวาออก ระหว่างผ่าตัดและพักฟื้นต้องเฉียดตายจากภาวะท้องโตราวกับตั้งครรภ์ มีปริมาณน้ำในช่องท้องมากถึง5ลิตร ต้องเจาะ และเย็บแผลผ่าตัดจำนวน49เข็ม ใช้ชีวิตอย่าทรมาน ซ้ำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่รับผิดชอบในความผิดพลาด ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ตนมีอาการปวดท้อง แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะ จากนั้นก็ยังปวดมาเรื่อยๆ

พี่เมธ สาวโรงงาน2

กระทั่งหมอวินิจฉัยว่ากระเพาะอาหารมีแนวโน้มน่าจะเป็นมะเร็ง จนในที่สุดวันที่ 29 มีนาคม 2560 เวลา 02.00 น.ปวดท้องมากจนต้องส่งตัวเข้ารักษา หมอฉีดยาระงับปวด รอดูอาการ สันนิษฐานเบื้องต้นน่าจะเป็นนิ่ว จึงทำการอัลตร้าซาวด์ผลออกมาว่า เป็นนิ่วในถุงน้ำดี2ก้อน ถ้าใช้วิถีส่องกล้องจะต้องจ่ายเอง (นอกระเบียบสิทธิทางประกันสังคม) ค่ารักษาในจำนวนเงิน20,000บาทประกอบกับตนไม่มีเงินมากพอ จึงปรึกษาญาติ ตัดสินใจใช้สิทธิประกันสังคมผ่าตัด หมอให้เตรียมร่างกายจนพร้อมแล้วทำการผ่าตัดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 เข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่เวลา 10.00 น. และออกมาในเวลา17.30 น. เป็นการผ่าตัดที่ใช้เวลานานจน นายสายัณ จันทร์โพธิ์ อายุ40 ปี ผู้เป็นสามีความกระวนกระวายจนต้องสอบถามหมอ ได้ความว่านางสาวสงกรานต์ฯเสียเลือดมากจากการผ่าตัดถูกนำตัวไปพักฟื้นในห้องไอซียู ครั้นพอสามีได้เข้าไปหานางสาวสงกรานต์ฯยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีอาการเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่สะดวก ต้องเขียนบอกอาการกับสามีลงในกระดาษ ว่า หายใจไม่ออกแล้ว พยาบาลจึงมาช่วยกันดูดสเลดออก บอกให้พยายามหายใจเองก่อนจึงจะถอดเครื่องช่วยหายใจได้ จึงตั้งสติและทำตาม ร่างกายจึงค่อยๆฟื้นตัวเรื่อยๆระหว่างพักฟื้นอยู่ในห้องไอซียู5วัน จนได้ออกห้องไอซียูมารอพักฟื้นร่างกาย มีร่องรอยของการผ่าตัดต้องเย็บแผลที่หน้าท้อง27เข็ม ระหว่างผ่าตัดเอาก้อนนิ่วออกมาแล้ว ยังเจ็บปวดทรมานปวดท้องร้าวไปถึงแผ่นหลัง นอนหงายราบไม่ได้เลย ร้องขอแต่ยาแก้ปวดบ่อยครั้ง ต้องปรับเตียงนอนให้อยู่ในท่านั่งเท่านั้น ท้องอืดขึ้นเรื่อยๆหมอบอกว่ารับประทานอาหารแล้วให้ลุกเดินบ้าง อาหารจะได้ย่อย ก็ทำตามที่หมอแนะนำแล้วก็ยังมีอาการปวดเหมือนเดิม จนวันสุดท้ายที่จะออกจากโรงพยาบาล

พี่เมธ สาวโรงงาน3

ผู้อำนายการโรงพยาบาลมาถามว่า “ตอนเด็กๆเคยนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไหม เคยผ่าตัดมาก่อนหรือเปล่า”ตนก็บอกว่าไม่เคย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังบอกอีกว่า”รู้ไหมไตคุณเหลือข้างเดียวนะ ไตคุณฝ่อ น่าจะเป็นมาตั้งแต่เด็ก หมอได้ทำการผ่าตัดออกแล้วนะ เพราะมันฝ่อ มีผังผืด ตัดออกไปตรวจหาเนื้อร้าย แต่โชคดีนะที่ทุกอย่างปกติดี” ฟังดังนั้นก็ตกใจถามไปว่าแล้วไตยังทำงานได้ปกติไหมได้คำตอบว่า ทำงานได้ตามปกติเพียงแต่ว่าขนาดเล็กลง ยังสงสัยอีกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำการผ่าตัดไตแล้วทำไมไม่แจ้งให้ทราบก่อน ทวงถามเพื่อขอดูไตที่ตัดไปทางโรงพยาบาลก็อ้างว่าส่งไปตรวจแล้ว เมื่อถามซ้ำๆก็บอกอีกว่าไตถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว จากนั้นก็บ่ายเบี่ยงเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

ในที่สุดแพทย์เจ้าของไข้จึงออกมายอมรับว่าตัดผิด นึกว่าเป็นถุงน้ำดี  ความทรมานเจ็บปวดก็เกิดขึ้นเรื่อยๆกลับไปให้ตรวจอีกครั้งก็ยังพบว่าแผลจากการผ่าตัดเย็บไม่สนิทเป็นรูกว้างต้องเจ็บปวดอีกครั้งในการเย็บซ้ำตรงรอยแผลที่ไม่สนิทอีก7เข็ม จากนั้นอาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนทางโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวต้องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในสังกัดเดียวกันที่กรุงเทพฯ ก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะรักษา ต้องทำเรื่องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลรามาฯ ก็ทราบเบื้องต้นแล้วว่ามีการผ่าตัดผิดพลาด วินิจฉัยอีกครั้งพบว่าชิ้นส่วนของไตข้างขวาค้างในช่องท้องและมีปัสสาวะในช่องท้อง  โดยปกติคนเรานั้นไตจะทำงานโดยขับน้ำหรือของเสียออกทางท่อไต แต่ของนางสาวสงกรานต์ฯนั้น ไตมีร่องรอยรั่วจากการเย็บ จึงทำให้มีอาการท้องบวมดังกล่าว ซึ่งช้ากว่านั้นน้ำอาจท่วมปอดจนเสียชีวิตได้ แพทย์ทำการผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งมีทั้งการเจาะช่องท้องเพื่อดูดน้ำ/ของเสียออก เปิดปากแผลเก่า เย็บแผลผ่าตัดใหม่ รวมทั้งสิ้นในการเย็บแผลผ่าตัดตั้งแต่แรกรวมทั้งหมด49เข็ม หลังกลับมาพักฟื้นที่ห้อง ก็กลับไปทวงถามถึงการช่วยเหลือเยียวยากลับถูกปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลกับนายแพทย์เจ้าของไข้ก็ได้ปัดกันไปมาจนถึงตอนนี้../

สุเมธ/ภาพ/ข่าว