ชาวบ้านวอนขอพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เจดีย์โคกวัด ให้ชุมชนได้สักการบูชา

AD WEB NET แก้ไข 3-11-60

ขอพื้นที่

เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เกือบ 50 คน ได้มารวมตัวกันที่บริเวณด้านหน้าที่ดินซึ่งมีป้ายติดไว้ว่า ที่ดินส่วนบุคคล บนเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ที่มีรั้วลวดหนามปิดกั้นไว้ด้านหน้า โดยที่ดินตรงนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “โคกวัด หรือ โคกสลัดได” ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เนื่องจากภายในที่ดินดังกล่าวนี้ มีเจดีย์ตั้งอยู่ 1 องค์ เป็นเจดีย์โบราณขนาดเล็กอายุราวๆ  100 ปี ซึ่งปัจจุบันมีเจดีย์องค์ใหญ่สีเหลืองอร่ามสร้างครอบไว้ โดยเจดีย์นี้ชาวบ้านในพื้นที่ได้เข้าไปกราบไหว้บูชากันมาอย่างยาวนาน และเป็นที่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน  โดยในอดีตที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่โดยรวมทั้งหมดประมาณ 20 ไร่เศษ แต่ต่อมาได้ถูกชาวบ้านจับจองไปและมีการขอออกเอกสารสิทธิ์หรือโฉนดที่ดิน เป็นการถือครองแบบปรปักษ์   ยกเว้นแต่ที่ดินผืนดังกล่าวที่เหลืออีกประมาณ 6 ไร่นั้น แม้จะมีผู้จับจองไว้ แต่ก็ยังไม่สามารถออกโฉนดได้  แต่ต่อมาพบว่ามีทายาทของผู้ที่ได้จับจองที่ดินแปลง 6 ไร่นี้ พยายามที่จะขอออกโฉนดเพื่อถือครองที่ดินผืนดังกล่าวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทำให้ชาวบ้านไม่ยอมรับ เนื่องจากต้องการให้เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติธรรมและเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ ความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ของคนในพื้นที่

ลุงบุญชู อ้นปรารมณ์ อายุ 80 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/2 หมู่ที่ 6 ต.บางโทรัด อ.เมืองสมุทรสาคร เล่าว่า เจดีย์แบบนี้ในพื้นที่ตำบลบางโทรัด มีอยู่ทั้งหมด 4 องค์ด้วยกัน ตั้งอยู่บนเนินโคกตามทิศทั้ง 4 ที่ตรงกับมุมของพระธาตุเกตุมดีศรีวราราม ซึ่งโคกวัด หรือ โคกสลัดได ที่ชาวบ้านนับถือนี้ เป็น 1 ใน 2 ของเจดีย์ทั้งสี่องค์ ที่ยังคงเหลืออยู่ไม่ถูกรุกรานให้สูญหายไปตามกาลเวลา ซึ่งชาวบ้านมีความนับถือและผูกพันกับที่ดินผืนนี้มาก จึงต้องการวอนขอให้ผู้ที่กล่าวว่าเป็นผู้ถือครองที่ดินผืนนี้ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เห็นใจชาวบ้าน ให้สามารถเข้าไปทำกิจกรรมในที่ดินผืนดังกล่าวได้ดังเดิม

ขอพื้นที่1

ด้านนายประภัสสร์ มาลากาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายอำพล อังคภากรณ์กุล รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายวิรัตน์ ไชยสิทธิ์ นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร นายภูชิตส์ ปิดดำ เจ้าพนักงานที่ดินสมุทรสาครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้แทนจาก อบต.บางโทรัด และผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้ลงพื้นที่มาพบกับตัวแทนชาวบ้าน เพื่อรับฟังปัญหารวมถึงความต้องการในการรักษาที่ดินผืนดังกล่าวเอาไว้

ขณะที่ทางด้านของนายภูชิตส์ ปิดดำ เจ้าพนักงานที่ดินสมุทรสาคร ได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า จากการตรวจสอบตามหลักฐานที่ปรากฏขณะนี้ พบว่าที่ดินผืนดังกล่าวหมายเลข 165 ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่นั้น ในอดีตมีการเข้าจับจองที่ดินและขอออกโฉนดกันไปในรูปแบบของการถือครองแบบปรปัก ยกเว้นแต่แปลงที่เหลืออีก 6 ไร่ ไม่สามารถออกโฉนดให้ใครได้มานานเกือบ 20 ปีแล้ว เนื่องจากแต่เดิม เคยมีผู้ถือครองถูกต้องตามกฎหมายไว้แล้ว 1 ราย โดยมีการขอออกโฉนดเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ได้มารับโฉนดไป ต่อมาก็มีนางทองเปลว รถทอง มาร้องขอเป็นเจ้าของที่ดินขนาด 6 ไร่นี้  ซึ่งศาลพิจารณาให้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแบบปรปัก แต่กรมที่ดินไม่สามารถออกโฉนดให้ได้ เพราะมีผู้ขอออกโฉนดไว้แล้ว ส่วนชื่ออื่นไม่มีปรากฏอีก

ขอพื้นที่2

ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบว่า บุคคลที่กล่าวอ้างว่าชื่อนายเดชาฯ ซึ่งได้นำลวดหนามมาล้อมเป็นรั้ว ปิดกั้นไม่ให้ใครเข้าออกในที่ดินแปลงดังกล่าว อีกทั้งยังได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีชาวบ้านบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคล พร้อมกับแสดงตนว่าเป็นทายาทของผู้ที่ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ จนศาลได้มีคำสั่งให้นายเดชาฯ เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้นั้น เป็นจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ ซึ่งก็จะได้ประสานให้นายเดชาฯ นำเอกสารทั้งหมดมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อตรวจสอบและชี้ขาดต่อไป

ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวย้ำว่า ปัญหาในเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องมีการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะเป็นเรื่องที่มีผลทั้งต่อทรัพย์สินส่วนบุคคลและผลกระทบทางด้านจิตใจของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยทั้งนี้ก็ได้ย้ำให้เจ้าพนักงานที่ดินเร่งดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งและลดผลกระทบทางจิตใจของชาวบ้านด้วย แต่เบื้องต้นก็ขอร้องชาวบ้านว่า อย่าได้เข้าไปรุกล้ำพื้นที่ดังกล่าว จนกว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จและได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

ขอพื้นที่3

สุเมธ/ภาพ/ข่าว